
แบตเตอรี่รถยนต์ คนใช้รถควรรู้อะไรบ้าง?
แบตเตอรี่รถยนต์ คืออะไร แล้วคนใช้รถยนต์ควรรู้แค่ไหน เพราะสำหรับหลายคน รถยนต์ก็เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองที่ใช้เวลาอยู่ด้วยมากรองจากบ้าน
และที่ทำงาน ซึ่งทุกวันนี้เราก็ใช้รถยนต์กันเต็มท้องถนน
ดังนั้นสำหรับ “แบตเตอรี่รถยนต์” จึงมีหลายเรื่องที่เราควรทราบเอาไว้บ้าง เพราะมันเกี่ยวข้องกับสุขภาพของเครื่องยนต์ ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา
แบตเตอรี่รถยนต์ กับพลังงานไฟฟ้า
แบตเตอรี่รถยนต์ คือ ส่วนสำคัญมากสำหรับรถยนต์ทุกประเภท เพราะมันคือ แหล่งจ่าย “พลังงานไฟฟ้า” ให้กับส่วนต่าง ๆ ของรถยังสามารทำงานได้ตามปกติ
ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า พลังงานไฟฟ้า เปรียบเสมือนกับระบบเลือดของเครื่องยนต์ เพราะมันคือส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบต่าง ๆ ของรถยังทำงานได้
ซึ่งในยุคปัจจุบันรถรุ่นใหม่ ๆ มีการนำอุปกรณ์ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นติดในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ระบบจุดระเบิด ระบบสตาร์ท เครื่องปรับอากาศ
ระบบไฟ ชุดเครื่องเสียงรถ กล้องติดรถยนต์ หรือบรรดาอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่หลายคนเริ่มติดกัน เช่น เครื่องดูดฝุ่นในรถ เครื่องฟอกอากาศ สายชาร์จแบตเตอรี่มือถือ เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะไม่ต้องรู้เรื่องการเลือกแบตเตอรี่เพิ่มนัก แต่ในเวลานี้อาจจะต้องรู้มากขึ้นครับ เพราะรถยนต์ของเรามีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ด้วย
ประเภทของ แบตเตอรี่รถยนต์
ในปัจจุบัน เราสามารถแบ่งประเภทของแบตเตอรี่รถได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ เราสามารถหาซื้อและมีวางขายทั่วไป ได้แก่
1. แบตเตอรี่แบบน้ำ
เรียกอีกแบบว่า แบตเตอรี่เปียก (Conventional Battery) เป็นแบตเตอรี่รถ ที่มีส่วนผสมของกรดตะกั่ว มีข้อดีคือ
-
ราคาถูก
-
มีความทนทานสูง
-
อายุการใช้งานยาวนาน
โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่แบบน้ำเหมาะสำหรับคนที่หมั่นดูแลสภาพรถยนต์เป็นประจำ
คำแนะนำคือ เราต้องคอยตรวจเช็คปริมาณน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ไม่ให้น้อยเกินไป
2. แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง
แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง หรือ แบตเตอรี่ไฮบริด (Maintenance Free) เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นมาจากแบตเตอรี่แบบน้ำ เพื่อแก้ปัญหาการตรวจสอบน้ำกลั่นออกไป
สำหรับข้อดี ได้แก่
-
ไม่จำเป็นต้องตรวจสภาพบ่อยๆ
-
ช่วยทำให้น้ำกลั่นลดน้อยลง
-
การระเหยของไอกรดต่ำ
-
มีการพัฒนาเรื่อย ๆ
เป็นแบตเตอรี่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้หมั่นตรวจสภาพรถยนต์หรือเช็คน้ำกลั่น และมีอายุการใช้งานดีในระดับหนึ่ง ราคาก็ไม่แพงเกินไป
3.แบตเตอรี่แบบแห้ง
แบตเตอรี่แห้ง (Sealed Maintenance Free) เป็นการพัฒนาขึ้นมาจากทั้งสองแบบแรก เพราะไม่ต้องหมั่นตรวจสอบเลย มีข้อดีคือ
ไม่จำเป็นต้องคอยเช็คปริมาณน้ำกลั่น
สามารถใช้ได้จนหมดอายุการใช้งาน
เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถยนต์
สำหรับอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของแบตเตอรี่แบบนี้ จะอยู่ที่ 1– 2 ปี แล้วแต่การใช้งานของแต่ละคนด้วย หรืออาจได้มากกว่านั้น จึงเหมาะมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลหรือเช็คสภาพแบตเตอรี่และเช็คน้ำกลั่น แต่ก็เป็นแบตที่มีราคาแพงที่สุดเช่นกัน
ปริมาณกระแสไฟฟ้า
นอกเหนือจากประเภทของแบตเตอรี่รถแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่อง ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ควรทราบเช่นกัน เพราะรถแต่ละขนาด จะใช้กระแสไฟแตกต่างกันไปอีก ซึ่งจะมีหน่วยเรียก Ah (แอมป์ต่อชั่วโมง) เช่น
รถยนต์ขนาดเล็ก
เครื่องขนาด1000-1500 CC ใช้แบตเตอรี่ ประมาณ 45-60 Ah
รถยนต์ขนาดกลาง-ใหญ่
เครื่องขนาด 1500-3000 CC ใช้แบตเตอรี่ ประมาณ 60-75 Ah
รถกระบะ รถเอสยูวี
เครื่องขนาด 2000-3000 CC ใช้แบตเตอรี่ ประมาณ 70-90 Ah
สุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่ขนาดรถยนต์ของเราว่าอยู่ระดับไหน และพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของเราเองด้วยว่าราคอยตรวจสอบสภาพรถมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเรื่องงบประมาณของเราด้วยครับ
